พัดลมระบายอากาศประหยัดพลังงาน เลือกแบบไหนให้คุ้มค่า
มัดรวมปัจจัยที่คุณต้องคำนึง ก่อนซื้อพัดลมระบายอากาศแบบประหยัดพลังงาน
พัดลมระบายอากาศเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท เพื่อใช้ในการระบายอากาศเสียหรือความร้อนออกจากพื้นที่ทำงาน ช่วยให้อากาศสะอาด และถ่ายเทได้ดี ส่งผลดีต่อสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งนี้ในปัจจุบันการใช้พัดลมระบายอากาศแบบประหยัดพลังงานได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าและช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย
รวมไปถึงความสำคัญของพัดลมระบายอากาศต่อทุกอุตสาหกรรม มีข้อดีหลายประการนอกเหนือจากช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องจักร และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานอีกด้วย แต่ทั้งนี้วิธีการในเลือกใช้พัดลมระบายอากาศที่จะทำให้คุณได้รับคุ้มค่านั้น มันก็ทริคอยู่ ซึ่งจะกล่าวในบทความนี้ อ่านจบไปเลือกซื้อได้เลย
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ก่อนที่คุณจะไปซื้อมัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักกับมันก่อน พัดลมระบายอากาศก็เช่นกัน ซึ่งพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน แบ่งออกตามลักษณะของมอเตอร์ที่ใช้ ดังนี้
- พัดลมระบายอากาศแบบมอเตอร์กระแสตรง (DC)
เป็นพัดลมระบายอากาศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงกว่ามอเตอร์กระแสสลับ (AC) ทั่วไป และสามารถใช้พลังงานได้น้อยกว่าถึง 50% เพราะมอเตอร์กระแสตรง (DC) ทำงานโดยใช้พลังงานไฟฟ้ากระแสตรง ทำให้สามารถควบคุมความเร็วรอบของมอเตอร์ได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมาก
- พัดลมระบายอากาศแบบมอเตอร์อินเวอร์เตอร์
เป็นพัดลมระบายอากาศอีกประเภทหนึ่ง โดยใช้มอเตอร์กระแสสลับ (AC) แต่ควบคุมความเร็วรอบของมอเตอร์ด้วยอินเวอร์เตอร์ ทั้งนี้อินเวอร์เตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรง จากนั้นจึงแปลงกลับเป็นกระแสไฟฟ้ากระแสสลับอีกครั้ง แต่มีความเร็วรอบที่ปรับได้
- พัดลมระบายอากาศด้วยใบพัดแบบพิเศษ
เป็นพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมที่ใช้ใบพัดแบบพิเศษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายอากาศและประหยัดพลังงาน เช่น ใบพัดแบบซ้อนกัน ใบพัดแบบปีกนก เป็นต้น สามารถช่วยเพิ่มแรงลมและลดแรงเสียดทานระหว่างอากาศกับใบพัด
นอกจากนี้ พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมประหยัดพลังงานยังมีประเภทย่อยอื่นๆ อีกมากมาย เช่น พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมโซล่าเซลล์ พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมแบบฝังผนัง เป็นต้น เลือกใช้ได้เลย
5 ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้พัดลมระบายอากาศ
นอกจากประเภทของพัดลมระบายอากาศข้างต้น ที่คุณต้องพิจารณาแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยที่คุณต้องคำนวณในการเลือกซื้อ ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้
- ขนาดของพัดลม
ขนาดของพัดลมระบาย มีผลต่อปริมาณอากาศที่สามารถระบายได้ คุณควรพิจารณาขนาดของพัดลมระบายอากาศให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศ ทั้งนี้ขนาดของพัดลมระบายอากาศมักระบุด้วยขนาดของใบพัด เช่น พัดลมระบายอากาศขนาด 20 นิ้ว จะมีใบพัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้ว คุณสามารถคำนวณขนาดของพัดลมระบายอากาศที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศ โดยใช้สูตร
‘ปริมาณอากาศที่ต้องการระบาย (m3/h) / อัตราการไหลของอากาศของพัดลม (m3/h) = จำนวนพัดลมที่ต้องใช้’
ขอตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศมีขนาด 100 ตารางเมตร ต้องการระบายอากาศออกทั้งหมด 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง อัตราการไหลของอากาศของพัดลมระบายอากาศขนาด 20 นิ้ว อยู่ที่ประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง
‘จำนวนพัดลมที่ต้องใช้ = 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง / 500 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง = พัดลม 2 ตัว’
ดังนั้นพื้นที่ขนาด 100 ตารางเมตร ต้องการพัดลมระบายอากาศขนาด 20 นิ้ว จำนวน 2 ตัว แต่สูตรนี้เป็นเพียงข้อแนะนำเท่านั้น คุณสามารถใช้สูตรอื่น ๆ ได้เช่นกัน
- กำลังไฟฟ้า
เชื่อเถอะว่ากำลังไฟฟ้าของพัดลมระบายอากาศ มีผลต่อปริมาณพลังงานที่ใช้ในการทำงานแน่นอน กำลังไฟฟ้าของพัดลมระบายอากาศ มักระบุเป็นหน่วยวัตต์ (W) เช่น พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมขนาด 20 นิ้ว อาจมีกำลังไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 1,000 วัตต์ เป็นต้น
แน่นอนว่าคุณสามารถคำนวณกำลังไฟฟ้าของพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับการใช้งาน และเราก็มีสูตรในการคำนวณมาฝากเช่นเคย ดังนี้
‘ปริมาณอากาศที่ต้องการระบาย (m3/h) * ความดันอากาศที่ต้องการ (Pa) / ประสิทธิภาพของพัดลม (η) = กำลังไฟฟ้า (W)’
เราขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากกว่าเดิมเช่น พื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศมีขนาด 100 ตารางเมตร ต้องการระบายอากาศออกทั้งหมด 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ความดันอากาศที่ต้องการอยู่ที่ประมาณ 100 Pa ประสิทธิภาพของพัดลมอยู่ที่ประมาณ 0.7 นั่นเท่ากับว่า
‘กำลังไฟฟ้า (W) = 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง * 100 Pa / 0.7 = 1428.57 วัตต์’
ดังนั้นc]h;พื้นที่ขนาด 100 ตารางเมตร ต้องการพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมที่มีกำลังไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 1,428.57 วัตต์ เป็นต้น แต่ทั้งนี้เราอยากแนะนำให้คุณเลือกพัดลมระบายอากาศที่มีกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน หากเลือกกำลังไฟฟ้ามากเกินไป อาจทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น
- ระดับเสียง
ต่อมาเป็นเรื่องของระดับเสียงของพัดลมระบายอากาศ แน่นอนว่ามีผลต่อความสะดวกในการทำงานอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นแล้วก็ควรพิจารณาระดับเสียงของพัดลมระบายอากาศให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น พื้นที่ทำงานต้องการความเงียบ ควรใช้พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมที่มีระดับเสียงต่ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ระดับเสียงของพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรม มักระบุเป็นหน่วยเดซิเบล (dB) เช่น พัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมขนาด 20 นิ้ว อาจมีระดับเสียงอยู่ที่ประมาณ 50 dB องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าระดับเสียงในการทำงานไม่ควรเกิน 85 dB เป็นเวลานาน หากระดับเสียงสูงกว่านี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น อาการหูอื้อ ปวดศีรษะ ปัญหาการนอนหลับ เป็นต้น
หน้าที่ของคุณก็คือต้องพิจารณาระดับเสียงของพัดลมระบายอากาศโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น พื้นที่ทำงานมีเครื่องจักรทำงานอยู่ด้วย อาจทำให้ระดับเสียงสูงขึ้น ควรเลือกพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมที่มีระดับเสียงต่ำ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
- วัสดุการผลิต
วัสดุที่ใช้ผลิตพัดลมระบายอากาศ จะมีผลต่อความทนทานและความแข็งแรงของพัดลม ดังนั้นคุณควรเลือกพัดลมที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมคุณมากที่สุด เช่น พื้นที่ทำงานมีสารเคมีกัดกร่อน ควรเลือกพัดลมระบายอากาศที่ทำจากวัสดุที่ทนต่อสารเคมี
ทั้งนี้วัสดุที่ใช้ผลิตพัดลมระบายอากาศที่นิยมใช้กัน ได้แก่ เหล็ก เป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทาน ทนต่อการกัดกร่อนได้ดี นิยมใช้ผลิตโครงสร้างของพัดลมระบายอากาศ หรือจะเป็นอะลูมิเนียม ที่เบากว่าเหล็ก แต่แข็งแรงทนทานเช่นกัน นิยมใช้ผลิตใบพัดของพัดลมระบายอากาศ และพลาสติก ราคาถูก นิยมใช้ผลิตเป็นใบพัดของพัดลมระบายอากาศขนาดเล็ก
ยกตัวอย่างหากว่าพื้นที่ทำงานมีสารเคมีกัดกร่อน ควรเลือกพัดลมระบายอากาศที่ทำจากวัสดุที่ทนต่อสารเคมี เช่น สแตนเลส เหล็กเคลือบอีพ็อกซี่ เป็นต้น
- รับประกัน
จงจำไว้เสมอว่าการรับประกันสินค้า บ่งบอกถึงคุณภาพของสินค้าและบริการหลังการขายของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย ทั้งนี้การรับประกันพัดลมระบายอากาศ มักจะอยู่ในช่วง 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปี คุณต้องพิจารณาเลือกพัดลมระบายอากาศอุตสาหกรรมที่มีระยะเวลาการรับประกันที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานโดยไม่มีปัญหา นอกจากระยะเวลาการรับประกันแล้ว ควรพิจารณาเงื่อนไขการรับประกันของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย เพื่อให้แน่ใจว่าหากพัดลมระบายอากาศมีปัญหา จะได้รับบริการหลังการขายที่เหมาะสม
โดยทั่วไปแล้ว เงื่อนไขการรับประกันของพัดลมระบายอากาศมักครอบคลุมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ของพัดลม เช่น มอเตอร์ ใบพัด เป็นต้น คุณต้องตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
สุดท้ายแล้วการเลือกพัดลมระบายอากาศประหยัดพลังงาน สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณาคือ กำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการทำงาน เพราะหากเลือกกำลังไฟฟ้ามากเกินไป อาจทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น ส่วนปัจจัยอื่น ๆ เป็นเพียงส่วนเสริมที่จะทำให้คุณได้รับความคุ้มค่ามากกว่าเดิมเท่านั้น
นอกจากนี้ ควรเลือกพัดลมระบายอากาศที่มีใบพัดขนาดใหญ่ เพราะสามารถระบายอากาศได้มากกว่าใบพัดขนาดเล็ก และที่สำคัญที่สุดคือ ควรเลือกพัดลมระบายอากาศจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้อย่าง ซาป๊ะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
บริษัท ซาป๊ะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานระบบระบายอากาศที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี สินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพสูง ประหยัดพลังงาน และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015และ มาตรฐานอุตสาหกรรม มอก.934-2558 บริษัทฯ มีทีมวิศวกรและช่างผู้ชำนาญการ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายอย่างครบวงจร
หากคุณกำลังมองหาพัดลมระบายอากาศประหยัดพลังงานที่คุ้มค่าและมีคุณภาพ เลือกซาป๊ะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สิครับ ติดต่อเราเลย
โทร : 02-1013846-7, 02-1013605
มือถือ : 095-9582310 , 085-4822861-2
อีเมล : sapaengineer2@gmail.com, salesapa2@gmail.com, salesapa5@gmail.com